กระทรวงพาณิชย์ ชูนโยบาย “Quick Big Win” ยกระดับการค้าด้วยข้อมูล เปิดตัว “ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า” ดึงเทคโนโลยีดาวเทียม AI และ Big Data ติดอาวุธ “พาณิชย์จังหวัด” รับมือผลผลิตช่วงพีคทั่วประเทศ 

กระทรวงพาณิชย์ ชูนโยบาย “Quick Big Win” ยกระดับการค้าด้วยข้อมูล เปิดตัว “ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า” ดึงเทคโนโลยีดาวเทียม AI และ Big Data ติดอาวุธ “พาณิชย์จังหวัด” รับมือผลผลิตช่วงพีคทั่วประเทศ 

avatar

Administrator


17


<p><strong>ดาวน์โหลดข้อมูลฉบับเต็ม:&nbsp;</strong><a href="https://uploads.tpso.go.th/ยกระดับการค้าด้วยข้อมูล เปิดตัวระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า.pdf" target="_blank">ยกระดับการค้าด้วยข้อมูล เปิดตัวระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า.pdf</a></p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า &ldquo;ขับเคลื่อนการค้าด้วยข้อมูล&rdquo; ตามนโยบาย Data-Driven Policy ภายใต้กรอบ &ldquo;Quick Big Win&rdquo; มุ่งยกระดับการตัดสินใจเชิงนโยบายให้แม่นยำ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่มีผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกร ล่าสุด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัว &ldquo;ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า&rdquo; ระบบดังกล่าวได้นำเทคโนโลยีดาวเทียมและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้พยากรณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้า เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดอาวุธสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ให้สามารถวางแผนรับมือและบริหารจัดการเชิงรุกผลผลิตข้าวนาปีที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงปลายปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นางศุภจี เปิดเผยว่า นโยบาย &ldquo;Quick Big Win&rdquo; ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานขับเคลื่อนการทำงานด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Data-Driven Policy) เพื่อให้การตัดสินใจเชิงนโยบายมีความแม่นยำ โปร่งใส และสามารถติดตามประเมินผลได้จริง โดยเฉพาะ &ldquo;ข้าว&rdquo; ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ ซึ่งกำลังจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงเดือนธันวาคม การมีข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลาจึงเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ระบบคาดการณ์นี้จะช่วยให้พาณิชย์จังหวัดทำงานได้ตรงจุด สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที&nbsp;</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp;ระบบดังกล่าวได้บูรณาการเทคโนโลยีดาวเทียม และ Big Data เพื่อประมวลผลและคาดการณ์ข้อมูลจาก 5 แหล่งสำคัญ ได้แก่ (1) ภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA เพื่อระบุพื้นที่และช่วงเวลาเก็บเกี่ยว (2) ข้อมูลผลผลิตต่อไร่ จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อคำนวณปริมาณผลผลิต (3) ข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร จากกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อระบุชนิดพันธุ์ข้าว (4) ข้อมูลกำลังการผลิตของโรงสีในพื้นที่ จากกรมการค้าภายใน นอกจากนั้น ยังเชื่อมโยง (5) ข้อมูลราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ในแต่ละพื้นที่ จากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เห็นภาพของทั้งสถานการณ์ด้านราคาและสัญญาณตลาดในระดับพื้นที่แบบทันที ซึ่งจะทำให้กระทรวงพาณิชย์สามารถคาดการณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้าในช่วง 2 &ndash; 8 สัปดาห์ โดยจำแนกรายละเอียดได้ถึงระดับจังหวัด อำเภอ และชนิดพันธุ์ข้าว ปิดความเสี่ยงของพื้นที่ที่มีผลผลิตออกมามาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคา ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลราคาจริงในพื้นที่ เพื่อใช้ประเมินแนวโน้มและออกมาตรการที่รองรับดึงราคาข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถทำงานเชิงรุกได้ โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมมาตรการรับมือได้ล่วงหน้าและรวดเร็ว เช่น การพิจารณาสินเชื่อชะลอการขาย การชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และการเร่งระบายข้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและรายได้ของพี่น้องเกษตรกรให้มั่นคงที่สุด ซึ่งล่าสุดราคาข้าวเปลือกในประเทศมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการข้าวไทยที่มีมากขึ้น โดยในรอบ 1 เดือนราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นจาก 14,100 บาทต่อตันเป็น 17,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าเพิ่มขึ้นจาก 6,800 บาทต่อตัน เป็น 7,800 บาทต่อตัน สะท้อนเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อรายได้ของเกษตรกรในช่วงฤดูกาลผลิตข้าวที่กำลังออกสู่ตลาด</p>

<p>&nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; &nbsp; ในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมต่อยอดพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดโลก ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานของคู่ค้าและคู่แข่งของไทย รวมทั้งศึกษาความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดสำคัญในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกสำหรับวางแผนเดินหน้ารุกตลาดและระบายผลผลิตของไทย การบริหารจัดการข้าวร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพทั่วประเทศนี้ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการบริหารจัดการข้าวไทยทั้งระบบในแต่ละพื้นที่มีความยั่งยืน ตั้งแต่ระดับเกษตรกรในหมู่บ้านจนถึงผู้ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงมีแผน &ldquo;ขยายผลสู่พืชเศรษฐกิจสำคัญ&rdquo; อีกอย่างน้อย 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย โดยจะบูรณาการข้อมูลพื้นที่ปลูก ผลผลิต ขีดความสามารถของโรงงานแปรรูป และข้อมูลราคาทั้งในและต่างประเทศ อย่างครบวงจร เพื่อยกระดับการบริหารจัดการสินค้าเกษตรไทยทั้งระบบ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกบนฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน ทันสมัย และรองรับการตัดสินใจเชิงนโยบายในทุกระดับอย่างแท้จริง</p>

ดาวน์โหลดข้อมูลฉบับเต็ม: 

          นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เดินหน้า “ขับเคลื่อนการค้าด้วยข้อมูล” ตามนโยบาย Data-Driven Policy ภายใต้กรอบ “Quick Big Win” มุ่งยกระดับการตัดสินใจเชิงนโยบายให้แม่นยำ โปร่งใส และตรวจสอบได้ โดยเฉพาะในภาคเกษตรที่มีผลกระทบโดยตรงต่อรายได้ของเกษตรกร ล่าสุด สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ได้ผนึกกำลังกับหน่วยงานพันธมิตรสำคัญ ได้แก่ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (BDI) สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (GISTDA) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดตัว “ระบบคาดการณ์ผลผลิตข้าวนาปีล่วงหน้า” ระบบดังกล่าวได้นำเทคโนโลยีดาวเทียมและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้พยากรณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้า เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดอาวุธสำนักงานพาณิชย์จังหวัด ให้สามารถวางแผนรับมือและบริหารจัดการเชิงรุกผลผลิตข้าวนาปีที่จะออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงปลายปีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          นางศุภจี เปิดเผยว่า นโยบาย “Quick Big Win” ให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพราคาสินค้าเกษตร โดยเน้นย้ำให้ทุกหน่วยงานขับเคลื่อนการทำงานด้วยข้อมูลและเทคโนโลยี (Data-Driven Policy) เพื่อให้การตัดสินใจเชิงนโยบายมีความแม่นยำ โปร่งใส และสามารถติดตามประเมินผลได้จริง โดยเฉพาะ “ข้าว” ซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศ ซึ่งกำลังจะมีผลผลิตออกสู่ตลาดจำนวนมากในช่วงเดือนธันวาคม การมีข้อมูลที่แม่นยำและทันเวลาจึงเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารจัดการทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ระบบคาดการณ์นี้จะช่วยให้พาณิชย์จังหวัดทำงานได้ตรงจุด สามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างทันท่วงที 

           ระบบดังกล่าวได้บูรณาการเทคโนโลยีดาวเทียม และ Big Data เพื่อประมวลผลและคาดการณ์ข้อมูลจาก 5 แหล่งสำคัญ ได้แก่ (1) ภาพถ่ายดาวเทียมจาก GISTDA เพื่อระบุพื้นที่และช่วงเวลาเก็บเกี่ยว (2) ข้อมูลผลผลิตต่อไร่ จากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร เพื่อคำนวณปริมาณผลผลิต (3) ข้อมูลการขึ้นทะเบียนเกษตรกร จากกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อระบุชนิดพันธุ์ข้าว (4) ข้อมูลกำลังการผลิตของโรงสีในพื้นที่ จากกรมการค้าภายใน นอกจากนั้น ยังเชื่อมโยง (5) ข้อมูลราคาข้าวที่เกษตรกรขายได้ในแต่ละพื้นที่ จากสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อให้เห็นภาพของทั้งสถานการณ์ด้านราคาและสัญญาณตลาดในระดับพื้นที่แบบทันที ซึ่งจะทำให้กระทรวงพาณิชย์สามารถคาดการณ์ผลผลิตข้าวล่วงหน้าในช่วง 2 – 8 สัปดาห์ โดยจำแนกรายละเอียดได้ถึงระดับจังหวัด อำเภอ และชนิดพันธุ์ข้าว ปิดความเสี่ยงของพื้นที่ที่มีผลผลิตออกมามาก ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อราคา ตลอดจนสามารถเชื่อมโยงกับข้อมูลราคาจริงในพื้นที่ เพื่อใช้ประเมินแนวโน้มและออกมาตรการที่รองรับดึงราคาข้าวให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น

          นางศุภจี กล่าวเพิ่มเติมว่า ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้กระทรวงพาณิชย์สามารถทำงานเชิงรุกได้ โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมมาตรการรับมือได้ล่วงหน้าและรวดเร็ว เช่น การพิจารณาสินเชื่อชะลอการขาย การชดเชยดอกเบี้ยผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และการเร่งระบายข้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อรักษาเสถียรภาพราคาและรายได้ของพี่น้องเกษตรกรให้มั่นคงที่สุด ซึ่งล่าสุดราคาข้าวเปลือกในประเทศมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากความต้องการข้าวไทยที่มีมากขึ้น โดยในรอบ 1 เดือนราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเพิ่มขึ้นจาก 14,100 บาทต่อตันเป็น 17,000 บาทต่อตัน ข้าวเปลือกเจ้าเพิ่มขึ้นจาก 6,800 บาทต่อตัน เป็น 7,800 บาทต่อตัน สะท้อนเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น และช่วยเสริมความเชื่อมั่นต่อรายได้ของเกษตรกรในช่วงฤดูกาลผลิตข้าวที่กำลังออกสู่ตลาด

          ในระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ได้เตรียมต่อยอดพัฒนาระบบอย่างต่อเนื่อง โดยจะนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดโลก ทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานของคู่ค้าและคู่แข่งของไทย รวมทั้งศึกษาความต้องการสินค้าเกษตรในตลาดสำคัญในต่างประเทศ เพื่อใช้เป็นข้อมูลเชิงลึกสำหรับวางแผนเดินหน้ารุกตลาดและระบายผลผลิตของไทย การบริหารจัดการข้าวร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพทั่วประเทศนี้ จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าการบริหารจัดการข้าวไทยทั้งระบบในแต่ละพื้นที่มีความยั่งยืน ตั้งแต่ระดับเกษตรกรในหมู่บ้านจนถึงผู้ส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ รวมถึงมีแผน “ขยายผลสู่พืชเศรษฐกิจสำคัญ” อีกอย่างน้อย 3 ชนิด ได้แก่ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ มันสำปะหลัง และอ้อย โดยจะบูรณาการข้อมูลพื้นที่ปลูก ผลผลิต ขีดความสามารถของโรงงานแปรรูป และข้อมูลราคาทั้งในและต่างประเทศ อย่างครบวงจร เพื่อยกระดับการบริหารจัดการสินค้าเกษตรไทยทั้งระบบ และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของไทยในตลาดโลกบนฐานของข้อมูลที่ครบถ้วน ทันสมัย และรองรับการตัดสินใจเชิงนโยบายในทุกระดับอย่างแท้จริง

เผยแพร่เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2568