นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (ผอ.สนค.) เผยว่า ดัชนีราคาส่งออก และดัชนีราคานำเข้าของไทย เดือนกันยายน 2568 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง ตามความต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบและแรงงานของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ยังอยู่ในระดับสูง สอดคล้องกับการนำเข้าของไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับการผลิตสำหรับส่งออก รวมถึงการบริโภคภายในประเทศ อย่างไรก็ตาม ความไม่แน่นอนของสถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นโยบายกีดกันทางการค้า การแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง และการแข็งค่าของเงินบาท อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขยายตัวทางด้านราคาของไทยในระยะข้างหน้า โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ดัชนีราคาส่งออก เดือนกันยายน 2568 เท่ากับ 111.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.5 (YoY) โดยได้รับปัจจัยบวกจากความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ทองคำ และอาหารแปรรูปเป็นสำคัญ โดยหมวดสินค้าที่ส่งผลให้ดัชนีราคาส่งออกปรับสูงขึ้น ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุตสาหกรรม สูงขึ้นร้อยละ 1.6 ได้แก่ ทองคำ เนื่องจากความกังวลต่อเศรษฐกิจโลก ทำให้ความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น เครื่องอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ตามความต้องการอุปกรณ์และชิ้นส่วน เพื่อรองรับการลงทุนในดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และศูนย์ข้อมูล (Data Center) และเครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ ตามความต้องการของตลาดเครื่องปรับอากาศแบบประหยัดพลังงาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และหมวดสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร สูงขึ้นร้อยละ 0.9 ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป ราคายังอยู่ในเกณฑ์ดีตามความต้องการของตลาด และอาหารสัตว์เลี้ยง ตามความต้องการอาหารสัตว์เลี้ยงประเภทพรีเมียม หรือสูตรสุขภาพ และเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ ตามความต้องการเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพเพิ่มขึ้น ขณะที่หมวดสินค้าที่ดัชนีราคาส่งออกลดลง ประกอบด้วย หมวดสินค้าเกษตรกรรม ลดลงร้อยละ 6.4 ได้แก่ ข้าว ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ยางพารา และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ราคายังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากปัญหาอุปทานส่วนเกิน และความต้องการนำเข้าจากประเทศคู่ค้าหลักชะลอตัว ประกอบกับเผชิญกับการแข่งขันด้านราคาจากประเทศคู่แข่ง และหมวดสินค้าแร่และเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 5.3 โดยเฉพาะน้ำมันสำเร็จรูป ตามทิศทางความเคลื่อนไหวราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ปรับตัวลดลง
ดัชนีราคานำเข้า เดือนกันยายน 2568 เท่ากับ 116.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 (YoY) ตามความต้องการนำเข้าสินค้าทุนและวัตถุดิบ เพื่อใช้ในการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมภายในประเทศและส่งออก รวมถึงความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของไทยในเดือนกันยายน 2568 มีทิศทางปรับตัวดีขึ้น ทำให้ความต้องการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น และส่งผลให้ดัชนีราคานำเข้าปรับตัวสูงขึ้นเกือบทุกหมวดสินค้า ประกอบด้วย หมวดสินค้าอุปโภคบริโภค สูงขึ้นร้อยละ 7.2 ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องประดับอัญมณี และเครื่องใช้เบ็ดเตล็ด ตามความต้องการสินค้าเพื่อใช้ในการอุปโภคบริโภคของประเทศ หมวดสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป สูงขึ้นร้อยละ 6.0 โดยเฉพาะทองคำ ตามความต้องการสำรองทองคำของธนาคารกลางหลายแห่ง เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ปุ๋ย ตามต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตปุ๋ยเพิ่มขึ้น และสินแร่โลหะอื่น ๆ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ตามทิศทางราคาตลาดโลกของโลหะสำคัญเพิ่มขึ้น อาทิ ทองแดง และอะลูมิเนียม หมวดสินค้าทุน สูงขึ้นร้อยละ 4.9 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ และเครื่องมือ เครื่องใช้ทางวิทยาศาสตร์ การแพทย์ การทดสอบ ตามความต้องการสินค้าเพื่อรองรับการขยายตัวของภาคการผลิต การลงทุน และการเติบโตของเทคโนโลยีดิจิทัล รวมถึงความต้องการอุปกรณ์ทางการแพทย์และห้องปฏิบัติการยังอยู่ในระดับสูง ขณะที่หมวดสินค้าเชื้อเพลิง ลดลงร้อยละ 5.3 โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะอุปทานล้นตลาด ประกอบกับเศรษฐกิจโลกมีสัญญาณชะลอลง ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานน้อยลง สำหรับหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง ดัชนีราคาไม่เปลี่ยนแปลง แต่มีการเปลี่ยนแปลงในบางกลุ่มสินค้าสำคัญ โดยสินค้าที่มีราคาสูงขึ้น คือ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ตามความต้องการนำเข้าชิ้นส่วนเพื่อประกอบการผลิต และส่งออกเพิ่มขึ้น ขณะที่สินค้าที่มีราคาลดลง คือ รถยนต์โดยสารและรถบรรทุก ตามความต้องการที่ชะลอลง ประกอบกับมีการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงในตลาด
นายนันทพงษ์ ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ดัชนีราคาส่งออก ไตรมาสที่ 4 ปี 2568 คาดว่ามีแนวโน้มขยายตัวเล็กน้อย ขณะที่ดัชนีราคานำเข้า ขยายตัวต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ปี 2568 จากคำสั่งซื้อที่คาดว่าจะชะลอลงจากแรงกดดันของความไม่แน่นอนเกี่ยวกับภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่สนับสนุนให้ดัชนีขยายตัว ได้แก่ 1) ความต้องการบริโภคสินค้าเกษตรแปรรูป และอาหารในตลาดโลกยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 2) สินค้าอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยี ตามการขยายตัวของ AI และ Data Center รวมถึงอุตสาหกรรม EV ยังเป็นที่ต้องการของตลาดทั่วโลก 3) ต้นทุนการผลิตมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น และ 4) ไตรมาสสุดท้ายของปีซึ่งเป็นช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองทั่วโลก อาจส่งผลให้มีคำสั่งซื้อจากตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น ขณะที่ปัจจัยเสี่ยงที่ควรเฝ้าระวัง ได้แก่ 1) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และประเทศคู่ค้าหลัก 2) ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ยังมีแนวโน้มยืดเยื้อในหลายภูมิภาค 3) ความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าและภาษีของสหรัฐ ฯ 4) ราคาสินค้าเกษตรสำคัญบางกลุ่มเผชิญกับปัญหาอุปทานส่วนเกิน และการแข่งขันทางด้านราคา และ 5) เงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า


