ผู้เข้าชมทั้งหมด: 16
วิเคราะห์ผลกระทบจากมาตรการด้านภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ต่อการส่งออกไทย ปี 2568
ในวันที่ 2 เมษายน 2568 ประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหารของประธานาธิบดีสหรัฐฯ (Executive Order) เพิ่มอัตราภาษีศุลกากรกับสินค้านำเข้าจากทุกประเทศอีก 10% (Baseline Tariffs) มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 5 เม.ย. 68 (MFN rate + 10%) และไทยถูกสหรัฐฯ ปรับเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรอีก 36% (มาตรการภาษีต่างตอบแทน: Reciprocal Tariffs) โดยอ้างว่าเป็นประเทศที่ไม่สมดุลทางการค้ากับสหรัฐฯ มีผลใช้บังคับในวันที่ 9 เม.ย. 68 แต่ต่อมาได้ประกาศระงับการบังคับใช้ Reciprocal Tariffs เป็นระยะเวลา 90 วัน ตั้งแต่วันที่ 10 เม.ย. – 9 ก.ค. 68 ภายหลังจากครบกำหนด 90 วัน อัตราภาษีนำเข้าอาจจะกลับสู่อัตรา Reciprocal ที่ 36% หรืออาจจะมีการพิจารณาใช้อัตราภาษีรายภูมิภาค (Regional) หรืออาจจะขยายระยะเวลาการระงับการเก็บภาษีในบางประเทศก็เป็นได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของทางรัฐบาลสหรัฐฯ ไม่เพียงเท่านั้น สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการทางภาษีรายสินค้า (Product-specific Tariffs) โดยใช้อำนาจทางกฎหมายตามมาตรา 232 เช่น เหล็กและอลูมิเนียมที่นำเข้าจากทุกประเทศ จะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 50 (MFN + 50%) สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์บางประเภทที่นำเข้าจากทุกประเทศจะถูกเก็บภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้นอีกในอัตราร้อยละ 25 (MFN + 25%) สำหรับสินค้าอื่น ๆ ที่ยังไม่ได้ออกมาตรการเพราะอยู่ระหว่างไต่สวนได้แก่ ทองแดง ไม้และไม้แปรรูป เซมิคอนดักเตอร์ ผลิตภัณฑ์ยา แร่สำคัญ รถบรรทุกขนาดกลางและใหญ่ เครื่องบินและเครื่องยนต์ไอพ่น อย่างไรก็ดี หลายประเทศเข้าสู่กระบวนการยื่นข้อเสนอการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ แล้ว แต่สถานการณ์ด้านภาษีในระยะข้างหน้ายังมีความไม่แน่นอนสูงและคาดเดาได้ยาก
ผลกระทบในกรณีที่ไทยถูกเรียกเก็บภาษีต่างตอบแทน Reciprocal Tariffs ในอัตราร้อยละ 36 จะส่งผลกระทบต่อไทยอย่างรุนแรง เนื่องจากอัตราภาษีดังกล่าวที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากไทย มีอัตราที่สูงกว่าหลายประเทศในเอเชีย โดยสูงกว่า จีน (34%) อินโดนีเซีย (32%) ไต้หวัน (32%) อินเดีย (26%) ญี่ปุ่น (24%) บรูไน (24%) มาเลเซีย (24%) และฟิลิปปินส์ (17%) แม้ว่าจะต่ำกว่า กัมพูชา (49%) ลาว (48%) เวียดนาม (46%) เมียนมา (44%) ก็ตามสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกที่มีความสำคัญอย่างมากกับประเทศไทย เนื่องจากเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทย ในปี 2567 มีสัดส่วนการส่งออกมากถึงร้อยละ 18 การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกอาจส่งผลให้ภาคการผลิตชะลอลง กระทบต่อความต้องการสินค้าที่ไทยอยู่ในห่วงโซ่อุปทานทั้งสินค้าขั้นต้นและขั้นกลาง รวมไปถึงสินค้าเพื่อการบริโภคขั้นสุดท้ายให้ลดลงไปด้วย การแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ สหรัฐฯ เนื่องจากหลายประเทศต่างได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีเช่นกัน จึงออกมาตรการกระจายตลาดส่งออก ลดการพึ่งพาสหรัฐฯ ทำให้เกิดการเข้าไปแข่งขันในตลาดที่ไทยครองส่วนแบ่งการตลาดอยู่แล้วหรือตลาดใหม่ ๆ ที่ไทยพยายามจะเข้าไป เกิดการเบี่ยงเบนทางการค้า เป็นไปได้ที่หลายประเทศที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ อาจพยายามลดแรงกดดันโดยการเพิ่มนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ มากขึ้นอาจส่งผลให้มีการนำเข้าสินค้าจากไทยลดลง และที่สำคัญ นักลงทุนอาจย้ายฐานการผลิตหรือกระจายการผลิตไปยังประเทศที่โดนมาตรการทางภาษีที่ต่ำกว่าไทยเพื่อกระจายความเสี่ยงจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ โดยในระยะกลางและยาวอาจจะเกิดการปรับเปลี่ยนห่วงโซ่อุปทานใหม่ โดยเฉพาะในกิจกรรมการผลิตที่เกี่ยวกับการประกอบชิ้นส่วนที่ง่ายต่อการโยกย้ายฐานการผลิต ส่วนในระยะสั้นที่ยังไม่แน่นอนจะเกิดการชะลอการลงทุนทั้งจากต่างประเทศ รวมถึงผู้ประกอบการของไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการส่งออกไปยังสหรัฐฯ หรืออยู่ในห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้อง